วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ปัญหาความขัดแย้งระหว่างชาวมุสลิมกับชาวพุทธในพม่า






                
                          วิธีการนำเสนอ  การพูดคุยสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
                                              ระหว่างรับประทานอาหาร
                สถานที่   ร้าน Hot Pot สาขาแหลมทองบางแสน จังหวัดชลบุรี 
                           วันพุธ ที่ 15 สิงหาคม พ..2556 เวลา 18.30-21.30 นาฬิกา







พม่าเป็นประเทศที่ไม่เคยปลอดจากความรุนแรงอันเนื่องมาจากความขัดแย้งระหว่างกลุ่มชน แม้จนได้ประชาธิปไตยมาแล้วในระดับหนึ่ง ปัญหานี้ก็ยังมีอยู่ ความเจ็บปวดในเรื่องเหล่านี้เป็นประสบการณ์ที่ชาวพม่ากำลังนำไปใช้แก้ปัญหาอยู่จนทำให้ปัญหาคลี่คลายลงไปได้เยอะ ยิ่งเมื่อพิจารณาถึงประสบการณ์และความตั้งใจในการแก้ไขปัญหาของผู้นำพม่าในทุกฝ่ายแล้ว อนาคตยิ่งดูมืดมน ปัญหานั้นคือปัญหาความขัดแย้งระหว่างชาวพุทธกับชาวมุสลิม




     ที่มาของความขัดแย้ง



การจลาจลที่ขยายวงจากเมืองเมกติลาไปยังเมืองต่างๆ ในพม่านั้นเป็นเครื่องชี้ชัดถึงการขาดความอดกลั้นของทั้งชาวพุทธ ชนกลุ่มใหญ่และชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมที่อาจเกิดจากผลิตผลของประชาธิปไตยที่เพิ่งลิ้มรส ชาวพุทธเป็นชน กลุ่มใหญ่ของประเทศนี้ มีวัฒนธรรมที่แข็งแกร่ง รู้สึกไม่พอใจต่อชนกลุ่มน้อยทางศาสนาที่เรียกร้องสิทธิต่างๆ มากขึ้นหรือมีท่าทีที่ชวนหมั่นไส้ พวกเขาจะแสดงออกอย่างรุนแรงมากล้น ถ้าพวกคนต่างกลุ่มดำเนินการเกินเลย เช่น ข่มขืนชาวพุทธ ปฏิเสธการให้บริการ หรือด่าทอ ความรู้สึกนี้เป็นความรู้สึกแบบเดียวกับชาวเซิร์บในยูโกสลาเวีย ยุค 80 ทั้งนี้เพราะเมื่อความขัดแย้งด้านอุดมการณ์ละลายไป สิ่งที่ปรากฏขึ้นนั้นแทนไม่ใช่สังคมยุคพระศรีอาริย์ที่ทุกอย่างดีไปหมด แต่มนุษย์ในสังคมจะหวนกลับไปรื้อฟื้นหรือยึดติดกับสิ่งที่เป็นตัวตนขั้นดิบของพวกเขา นั่นคือ เชื้อชาติและศาสนา หากกลุ่มชนนั้นมีความรู้สึกแบ่งพวกเขา-พวกเรา สูง สภาพสังคมแบบพม่าดันเป็นเช่นนั้นเสียด้วย ที่ชาวพุทธมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันสูง ขาดประสบการณ์การผ่อนปรนกับคนนอกศาสนา เพราะไม่ค่อยมีความขัดแย้งทำนองนี้



 ฝ่ายมุสลิมในพม่าก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ในอดีตพวกเขายอมรับความเป็นรองอยู่เงียบๆ ในสังคมพุทธเป็นใหญ่ แต่ในยุคประชาธิปไตย พวกเขาก็มีกลุ่มที่กล้าแสดงออก กล้าลุยเรียกร้องและกล้าต่อสู้ขึ้นมา ผลก็คือยิ่งทำให้มวลความร้อนปะทะกับมวลความร้อน เรื่องที่น่าจะจบลง กันได้ด้วยคนไม่กี่คน กลายเป็นการนับศพเพิ่มขึ้นๆ คนคลั่งแค้นเข้าปะทะกันมากขึ้น และอะไรที่เป็นสัญลักษณ์ของฝ่ายตรงข้ามก็ต้องถูกทำให้พินาศลงโดยไม่ต้องคำนึงถึงสติอะไรอีก
ความขัดแย้งขยายตัวเมื่อชาวพุทธแพ็กกันแน่นทุกองค์กรดำเนินการเล่นงานหรือตอบโต้คนต่างศาสนาอย่างเป็นระบบ ขณะที่ชาวมุสลิมก็อาศัยโลกาภิวัตน์แสวงหาแนวร่วมจากที่ต่างๆ นอกพม่า ดังนั้นจึงอย่าแปลกใจที่สหประชาชาติจะวิตกต่อเรื่องนี้ แนวร่วมอิสลามจะประณามพม่า หรืออาจมีนักรบต่างชาติเข้าไปทำสงครามศักดิ์สิทธิ์ในนั้น แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามยุติความขัดแย้งแบบที่เคยทำกับจลาจลที่ยะไข่ไม่ว่าการจับกุมทุกฝ่าย ประกาศเคอร์ฟิว หรืออ้อนวอนขอร้องให้ทุกฝ่ายหยุดฆ่ากันซะที แต่นั่นก็จะไม่ได้ช่วยอะไรในระยะยาว เพราะผู้นำพม่าทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ไม่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้ อีกทั้งลึกๆ แล้วเลือกข้าง

พวกเขาพยายามทำให้โลกคิดว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเล็กน้อยที่เดี๋ยวก็หายไปเอง พวกเขาอ้างว่า มีแนวทางแก้ไขปัญหาขั้นสุดท้ายอยู่แล้ว แต่ตอบไม่ได้ว่าจะทำอย่างไร ฝ่ายรัฐบาลนั้นยังไม่กระทบชื่อเสียงนัก เพราะนานาชาติมองทหารพม่าในแง่นิยมการแก้ไขปัญหาด้วยความรุนแรงอยู่แล้ว แต่กับออง ซาน ซูจี ที่ก้าวไปถึงระดับเทพสิทธิมนุษยชนแล้ว เรื่องนี้จะกระทบชื่อเสียงเธอมาก ยิ่งเธอเลือกที่จะเงียบมากกว่าผลักดันอันใด กระแสความสงสัยจะยิ่งพุ่งมายังเธอว่าสิทธิมนุษยชนที่เธอเรียกร้องนั้นจำกัดเฉพาะกลุ่มกระมัง





จุดสนใจ


ในขณะที่รัฐบาลพม่ากำลังเดินหน้าเร่งปฏิรูปการเมืองและเศรษฐกิจ   แต่ก็เผชิญกับสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างชาวพม่าต่างศาสนาในประเทศ  นับแต่ความขัดแย้งระหว่างชาวพุทธและมุสลิมในรัฐยะไข่เมื่อปี 2555 ที่ก่อให้เกิดความเสียหายมากมายต่อพม่าทั้งภาพลักษณ์ และความสูญเสียด้านชีวิตและทรัพย์สิน               

มีผู้เสียชีวิต 180 คน  ชาวโรฮิงยาในรัฐยะไข่ต้องหนีตายไปอยู่ในบังคลาเทศเป็น110,000 คน  ที่เหลือก็อพยพไปยังประเทศเพื่อนบ้านอื่นแบบไปตายเอาดาบหน้า   เวลานี้  ความขัดแย้งระหว่างศาสนาได้ลามไปยังพื้นที่อื่น   ล่าสุด  เกิดการจลาจลต่อสู้กันระหว่างชาวพม่าพุทธและพม่ามุสลิมในเมืองเมคถิลา  ซึ่งอยู่ตอนกลางของประเทศพม่า  เหนือกรุงย่างกุ้ง ไปทางเหนือประมาณ 150 กิโลเมตร ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคมเป็นต้นมา  มีคนเสียชีวิตไปแล้วประมาณ 40 คน และมีผู้อพยพหนีความรุนแรงประมาณ 9,000 คน  ถือว่ารุนแรงที่สุดนับแต่การปะทะกันระหว่างชาวพม่าพุทธและมุสลิมโรฮิงยาในรัฐยะไข่ในปี 2555



       มูลเหตุของการจลาจล




จากข้อมูลของตำรวจบอกว่า  จุดเริ่มต้นมาจากการทุ่มเถียง  วิวาทกันที่ร้านขายทองซึ่งเจ้าของเป็นคนมุสลิม  ข่าวไม่ได้บอกว่าชาวพม่าพุทธมาซื้อทองแล้วถกเถียงกันหรือไม่อย่างไร  แต่เกิดวิวาทกันจนมีการบาดเจ็บ  ซึ่งน่าจะเป็นชาวพุทธบาดเจ็บ  ทีแรกการปะทะกันก็จำกัดอยู่ละแวกร้านทองเท่านั้น  ทำให้มีผู้เสียชีวิตไป 2 คน  หนึ่งในสองคนนั้นเป็นพระสงฆ์ซึ่งไม่มีข่าวว่าโดนลูกหลงหรือพระไปตีกันเขาด้วย  แต่โดนไฟลวกบาดเจ็บสาหัสและมรณภาพในที่สุด  อีกคนเป็นชาวมุสลิม  มีการปลุกระดมกันทั้งสองฝ่าย  ต่างฝ่ายต่างยกพวกออกไปตีกัน  แล้วค่อย ๆ ลุกลามบานปลายออกไปเรื่อย ๆ   ชาวพุทธซึ่งมีพระสงฆ์มาร่วมกับเขาด้วย และชาวมุสลิมยกพวกถล่มกันตามท้องถนนในตัวเมือง  เผาอาคารบ้านเรือน  เจ้าหน้าที่เจอศพอยู่ใต้ซากสลักหักพังของอาคาร  ชาวพม่าพุทธกลุ่มหนึ่งบุกไปทำลายมัสยิดหลายแห่ง
ในจำนวนนี้  3 แห่งเสียหายจนใช้การไม่ได้    ข้อมูลล่าสุดบอกว่าสองฝ่ายเสียชีวิตแล้วถึง 40  ราย  มีผู้ก่อเหตุหลายสิบคนถูกจับกุม ทางการพม่าประกาศภาวะฉุกเฉินและประกาศเคอร์ฟิวในเขตเมืองเพื่อไม่ให้สถานการณ์ลุกลามบานปลายไปมากกว่านี้   แต่ตำรวจมีกำลังไม่พอที่จะควบคุมสถานการณ์ได้  ขณะนี้  ในเมืองดังกล่าวยังมีความตึงเครียดระหว่างคนสองศาสนา  หลายฝายวิตกว่าความขัดแย้งระหว่างคนสองศาสนาจะลามไปยังพื้นที่อื่น  ส่วนประธานาธิบดีเต็งเส่งประกาศผ่านโทรทัศน์ว่า  รัฐบาลจะดำเนินทุกมาตรการที่จำเป็นเพื่อฟื้นฟูความสงบเรียบร้อย  จะจัดการผู้ยุยงปลุกปั่นให้เกิดความตึงเครียดทางเชื้อชาติและศาสนา และเตือนว่า  หากยังไม่ยุติการก่อเหตุและความสุดโต่งทางศาสนาแล้ว  ก็อาจส่งผลกระทบต่อการปฏิรูปประชาธิปไตยและการพัฒนาเศรษฐกิจที่กำลังรุดหน้า




 ชาวพม่าในพื้นที่บอกว่า  ความขัดแย้งครั้งนี้ไม่เคยพบเห็นมาก่อนในชีวิต  ถือเป็นเหตุรุนแรงระหว่างศาสนาที่หนักหน่วงที่สุดหลังจากการปะทะกันระหว่างคนสองศาสนาในรัฐยะไข่ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2555  ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งสองฝ่ายอย่างน้อย 180 คน   ก่อนหน้านี้   เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2556 ก็มีการจลาจลย่อย ๆ ในกรุงย่างกุ้งหลังจากชาวพม่าพุทธบุกเข้าทำลายมัสยิดแห่งหนึ่งที่ถูกมองว่าเป็นมัสยิดผิดกฎหมาย   ครั้งนี้  นอกจากประกาศเคอร์ฟิวที่เมืองเมตถิลา  ทางการพม่ายังถือโอกาสประกาศเคอร์ฟิวอีก 3 หมู่บ้านเมืองพะโค  ทางตอนเหนือของย่างกุ้งซึ่งเคยมีการปะทะของคนสองศาสนามาก่อนแล้ว โดยมีชาวพุทธบุกปล้นบ้านชาวมุสลิมใน 2 หมู่บ้าน  ทำลายบ้านเรือน 60 แห่ง  พม่ามีประชากรประมาณ 60 ล้านคน  เป็นชาวพุทธร้อยละ 89 เป็นชาวมุสลิมร้อยละ 4  ชาวมุสลิมเหล่านั้น  เฉพาะที่เมืองเมคถิลา  มีชาวมุสลิมประมาณ 3 หมื่นคนจากจำนวนประชากรทั้งหมด 8 หมื่นคน  ที่ผ่านมาคนสองศาสนาก็อยู่ด้วยกันอย่างสงบสันติ  ไม่มีปัญหา  หลายฝ่ายคิดว่าความตึงเครียดลามมาจากรัฐยะไข่  ทำให้สองฝ่ายเริ่มระแวงกัน 


      ผลกระทบและการจัดการปัญหา


องค์กรทางศาสนาในพม่าเรียกว่า อินเตอร์เฟธ  เฟรนด์ชิป”  หรือ มิตรภาพระหว่างความเชื่อ”   ซึ่งรวมทั้งพุทธ  มุสลิม  คริสต์ และฮินดี  เรียกร้องผู้นับถือศาสนาต่างๆ เคารพกฎหมายและธำรงไว้ซึ่งความสมัคคีในชุมชนด้วยความรักและเมตตา  ถือเป็นครั้งแรกที่ผู้นำศาสนาได้ออกมาเรียกร้องให้ยุติความรุนแรง จากความรุนแรงที่เกิดขึ้นทำให้ผู้นำศาสนาพุทธและอิสลามในพม่า  ออกมาเรียกร้องให้ชาวพุทธในชาวมุสลิมในพื้นที่ขัดแย้งยุติการก่อความรุนแรงต่อกัน  พร้อมขอต่อสู้รัฐบาลเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่เกิดศึกศาสนาให้เข้มงวดมากขึ้น  ด้านต่างประเทศ  อังกฤษซึ่งเป็นเจ้าอาณานิคมเก่าที่พม่าเกลียดมาก ร่วมกับสหรัฐอเมริกาและสหประชาชาติ  เรียกร้องให้พม่าหาทางยุติความรุนแรงโดยทันทีและทำทุกวิถีทางที่จำเป็นเพื่อปกป้องพลเมือง และดำเนินการต่อสัตรูที่อยู่เบื้องหลัง   ส่วนที่ปรึกษาพิเศษเกี่ยวกับพม่าประจำสหประชาชาติ  เรียกร้องให้ทุกฝ่ายสร้างความสงบ  เร่งบรรเทาความตึงเครียดและสร้างสันติภาพ  ส่วนองค์กรนิรโทษกรรมสากลเรียกร้องให้รัฐบาลพม่าหาทางยุติความรุนแรงในเมคติลา  มิฉะนั้น  พม่าเสี่ยงที่จะเผชิญกับการจลาจลที่วนเวียนไม่รู้จักจบสิ้น เพราะความตึงเครียดระหว่างชาวพุทธและมุสลิมเริ่มกระจายไปในส่วนอื่นของประเทศ

ส่วนทูตพิเศษประจำสหประชาชาติได้ลงพื้นที่เพื่อสังเกตการณ์ด้วยตนเอง  รวมทั้งได้พบปะพูดคุยกับทั้งชาวพุทธและมุสลิมผู้ประสบความรุนแรงในค่ายที่พักพิงชั่วคราว 2 แห่ง   เขาระบุว่า ชาวมุสลิมตกเป็นเป้าหมายการถูกกระทำอย่างเป็นระบบ  มีการปล่อยข่าวลือเพื่อให้เกิดความวุ่นวายระหว่างชุมชนพุทธและมุสลิม  คนที่ก่อเหตุเป็นคนนอกพื้นที่ที่ถูกจัดตั้งมา   เขาเรียกร้องให้ผู้นำศาสนาพุทธและอิสลามพูดกับคนในชุมชนของตนให้ยุติความรุนแรงและเคารพกฎหมาย  ฟื้นฟูความสงบสุข สถานทูตต่างประเทศในพม่า  เช่น สหรัฐอเมริกา ได้ออกคำเตือนพลเมืองของตนให้เลี่ยงการเดินทางไปแถบเมืองมัณทะเลย์  รวมถึงพื้นที่โดยรอบตลาดมิงกาลาร์ และยูชานา พลาซาในย่างกุ้ง  ในขณะที่ร้านค้าหลายแห่งในกรุงย่างกุ้งปิดทำการก่อเวลาเพราะกังวลเรื่องความปลอดภัย  บรรยากาศในกรุงย่างกุ้งค่อนข้างตึงเครียดเพราะมีข่าวลือว่าชาวมุสลิมอาจตกเป็นเป้าโจมตี ทางการย่างกุ้งมีคำสั่งห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตั้งแต่ค่ำถึงเช้าเพื่อป้องกันการก่อความรุนแรง   ทางการพม่าเปิดเผยผ่านเฟซบุ๊คว่า  มีผู้ไม่หวังดีกำลังยุยงให้ประชาชนก่อความไม่สงบเพิ่มขึ้น  แต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นกลุ่มใด  และเรียกร้องให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อ  หากพบความเคลื่อนไหวที่น่าสงสัยขอให้แจ้งตำรวจทันที   เวลานี้  มีการตั้งข้อสงสัยว่า อาจมี มือที่สาม” ปลุกปั่นให้ชาวพุทธและมุสลิมตีกัน  โดยปลุกปั่นให้พวกอันธพาลไปทำร้ายชาวมุสลิม นี่คงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่จะเกิดความขัดแย้งและความรุนแรงระหว่างชาวพุทธและมุสลิมในพม่า  ต่อไปก็คงมีอีก 
สำหรับประเทศไทยนั้น  คนไทยถือว่าเป็นคนที่โอบอ้อมอารีย์ต่อคนต่างเชื้อชาติศาสนาเผ่าพันธ์   ก็ยังมีปัญหากับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่โจรมุสลิมไล่ฆ่าชาวพุทธเหมือนกับการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ พอชาวไทยพุทธบาดเจ็บล้มตายหรือหนีตายไปอยู่ทื่อื่นจนหมดก็หันมาฆ่าชาวไทยมุสลิมด้วยกันอีก เราหวังว่า  ประเทศไทยคงไม่เป็นแบบพม่าและบังคลาเทศ  แม้ว่าคนส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธก็ตาม  แต่ได้ให้ความเมตตาปราณีและเอื้ออาทรแก่คนต่างเชื้อชาติศาสนาตลอดมา







 ความขัดแย้งระหว่างชาวพุทธและชาวมุสลิมในพม่า ตึงเครียดหลายเมืองตลอดช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตกว่า 32 ศพ ไร้บ้านเกือบ 10,000 ราย ยูเอ็นจี้รัฐบาลเร่งยุติปัญหาหวั่นลุกลามสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์


สถานการณ์ความขัดแย้งรุนแรงระหว่างชาวพุทธ และชาวมุสลิมในพม่า ที่เริ่มจากเมืองมิถิลา ทางภาคกลาง ตั้งแต่ 20 มี.ค. ที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 32 ศพ บ้านเรือนประชาชนและศาสนสถานถูกเผาทำลายเสียหายจำนวนมาก ชาวบ้านต้องไร้ที่พักพิงมากเกือบ 10,000 คน เหตุการณ์ความตึงเครียดยังลุกลามสู่หลายเมืองตลอดช่วงสุดสัปดาห์ ทำให้รัฐบาลพม่าต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน และส่งทหารเข้ารักษาความสงบเรียบร้อย ทั้งมีการยิงปืนขึ้นฟ้าปรามผู้ก่อเหตุรุนแรง ก่อนหน้านี้ ผู้แทนสหประชาชาติ(ยูเอ็น) เดินทางเข้าพื้นที่เกิดความขัดแย้ง เพื่อรวบรวมข้อมูลแก้ปัญหา ทั้งเรียกร้องรัฐบาลพม่าให้นำตัวผู้ก่อความรุนแรงมาลงโทษตามกฎหมาย แต่ต้องหลีกเลี่ยงการใช้อาวุธยุติปัญหา และเกรงว่าเหตุรุนแรงอาจลุกลามสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แบบเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นกับชนเผ่าฮูตูและทุตซี่ในรวันดา แม้ว่า ส.ส.พรรคฝ่ายค้านสันนิบาตชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) ระบุสถานการณ์เริ่มสงบ ไม่มีเหตุปะทะเกิดขึ้นแล้ว




เหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงความล้มเหลวของรัฐบาลพม่าต่อการแก้ปัญหา ความเกลียดชังระหว่างชาวพุทธกับชาวมุสลิมภายในประเทศ แม้แต่พระสงฆ์ยังออกมาร่วมชุมนุมต่อต้านชาวมุสลิม ทำให้ประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ซึ่งบริหารประเทศมานาน ปี ต้องเร่งหาทางออกสู่เส้นทางการปกครองระบอบประชาธิปไตย ซึ่งไม่เพียงแต่ความไม่สงบในรัฐยะไข่ ฝั่งตะวันตก แต่ยังรวมถึงการต่อสู้ชิงดินแดนกับชนกลุ่มน้อยในหลายพื้นที่ของประเทศ


         

Video Asean Weekly 

การจลาจลทางศาสนาในพม่า       

by Youtube












สาเหตุหนึ่งของความขัดแย้งทางศาสนา

ในพม่าที่มีคนเชื่อว่าเกิดจาก "พระวีระธู" 

ผู้ยุยงให้เกิดความรุนแรง



พระผู้เรียกตัวเองว่า 'บิน ลาเดน แห่งพม่า' ผู้เผยแพร่คำสอนสร้างความเกลียดชังศาสนาผ่านโซเชียลเนตเวิร์กที่มีคนติดตามหลายพัน และแม้ว่าไม่ใช่ชาวพุทธทุกคนที่จะเชื่อคำยุยงอย่างเผ็ดร้อนของเขา แต่ก็ถือว่าเขาเป็นผู้มีอิทธิพลทางความคิดอย่างน่าเป็นห่วงในเรื่องการใช้วาจาโกรธแค้นเกลียดชัง hate speech
ในวันที่ 18 เม.ย. ที่ผ่านมา สำนักข่าว The Guardian ได้นำเสนอเรื่องของพระรูปหนึ่งชื่อ วีระธุ ผู้ที่เรียกตัวเองว่าเป็น 'บิน ลาเดน แห่งพม่าซึ่ง The Guardian เชื่อว่าเขาเป็นผู้ที่เผยแพร่ความเกลียดชังทางศาสนาไปทั่วประเทศพม่า


วีระธุ เป็นพระอายุ 45 ปี ผู้ที่นำเสนอความเห็นผ่านทางวีดิโอและสื่อโซเชียลมีเดีย โดยกล่าวหาว่ากลุ่มชาวมุสลิมเป็นผู้ข่มขืนหญิงชาวพุทธและมีการเล่นพรรคเล่นพวก The Guardian กล่าวว่าการเทศนาเป็นภาษาพม่าของวีระธุดูสงบนิ่งจนเหมือนเข้าฌาน ขณะเทศนาพระวีระธุจะเอนตัวไปมาและตามองต่ำ แม้ว่าคำพูดจะดูนุ่มนวลแต่เนื้อหาที่เขาเทศนาก็เป็นเรื่องความหวาดระแวงและความกลัว เต็มไปด้วยการเหมารวมทางเชื้อชาติ และเป็นข่าวลือที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดการแพร่กระจายของข็อมูลผิดๆ และเป็นการยุยงให้เกิดความรุนแรง
"พวกเราถูกข่มขืนในทุกๆ เมือง ถูกล่วงละเมิดทางเพศในทุกๆ เมือง ถูกรุมรังแกในทุกๆ เมือง"      วีระธูกล่าวให้สัมภาษณ์กับ The Guardian ขณะอยู่ที่วัดมะซอเหย่น ในเมืองมัณฑะเลย์ "ในทุกๆ เมืองจะมีกลุ่มชาวมุสลิมส่วนมากที่ป่าเถื่อนและหยาบคาย"
เป็นเรื่องง่ายที่จะมองว่าวีระธุเป็นแค่พระหัวรุนแรงที่ได้รับข้อมูลผิดๆ แต่ว่าพระวีระธุเป็นคนที่มีความนิยมสูงมาก นอกเหนือจากพระในวัดเดียวกันซึ่งเป็นที่เคารพศรัทธาแล้ว วีระธุมีผู้ติดตามจำนวนหลายพันคนในเฟซบุ๊คและวีดิโอของเขาในยูทูปก็มีผู้ชมมากกว่าหมื่นครั้ง
The Guardian ระบุว่า ท่ามกลางการเปิดเสรีมากขึ้นในพม่า กระแสแนวคิดต่อต้านมุสลิมของชาวพุทธในพม่าซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ 60 ล้านคน ก็แพร่ไปทั่ว และวีระธุก็เป็นคนที่มีส่วนในการเผยแพร่แนวคิดนี้อย่างมาก
วีระธุเริ่มเป็นที่รู้จักตั้งแต่ปี 2001 เมื่อเขาเป็นผู้รณรงค์ให้มีการบอยคอตต์ธุรกิจของชาวมุสลิม เขาถูกสั่งจำคุก 25 ปี ในปี 2003 ข้อหายุยงให้เกิดความรุนแรงต่อชาวมุสลิม แต่ถูกปล่อยตัวในช่วงที่มีการนิรโทษกรรมขนานใหญ่ในปี 2010
วีระธุกล่าวอีกว่าสิ่งที่เขาเป็นห่วงคือการใช้กำลังบังคับหญิงชาวพุทธให้นับถือศาสนา หลังจากนั้นก็สังหารเมื่อไม่ปฏิบัติตามศาสนาอิสลาม วีระธุเชื่ออีกว่าการสังหารวัวด้วยวิธีการฮาลาลทำให้เกิดความคุ้นชินกับเลือด และอาจขยายไปสู่ความรุนแรงที่เป็นภัยคุกคามความสงบสุขของโลก เขายังกล่าวหาอีกว่าประชากรชาวมุสลิมซึ่งมีอยู่ร้อยละ 5 ของประเทศพม่าเป็นคนที่ได้รับการสนับสนุนและถูกชักใยจากกลุ่มอำนาจในตะวันออกกลาง

มีนักวิจารณ์บางคนชี้ว่า วีระธุขาดการศึกษาทำให้เขากลายเป็นคนสุดโต่งและไม่มีความรู้ แต่ความเห็นของเขากลับมีอิทธิพลในประเทศที่ชาวมุสลิมประสบความสำเร็จด้านการค้าขาย
นักวิเคราะห์เตือนว่า สิ่งที่ดูเหมือนเป็นเสรีภาพในการเทศนาตามใจชอบของวีระธุ นอกจากจะสร้างอิทธิพลให้พระรายอื่นๆ เริ่มเทศนาให้เกิดความเกลียดชังอิสลามในลักษณะเดียวกันแล้ว ยังเป็นเรื่องที่น่าจะต้องมีการจัดการอะไรบางอย่าง
เมื่อไม่นานมานี้ นักกิจกรรมหลากศาสนาในพม่าออกมาตามท้องถนนเพื่อประท้วงต่อต้านความรุนแรง  มีการแจกจ่างเสื้อยืดและสติกเกอร์ที่มีข้อความว่า "ฉันจะไม่เป็นต้นเหตุของความขัดแย้งทางเชื้อชาติและศาสนา" แต่ดูเหมือนว่าความขัดแย้งระหว่างชาวพุทธกับชาวมุสลิมในพม่าจะแพร่ไปทั่วแล้ว
The Guardian เปิดเผยว่าในกรุงย่างกุ้งเมื่อไม่นานมานี้มีเหตุไฟไหม้มัสยิดจนทำให้มีเด็กเสียชีวิต 13 คน เชื่อว่าเป็นเหตุการวางเพลิง ขณะที่ในอินโดนีเซียมีชาวพุทธสามคนถูกทุบตีจนเสียชีวิตโดยชาวมุสลิมโรฮิงยาที่ทัณฑสถาน ซึ่งดูเหมือนเป็นการตอบโต้เหตุการณ์ที่ชาวพุทธรายหนึ่งในทัณฑสถานกระทำอนาจารต่อผู้หญิงชาวโรฮิงยา
ขณะเดียวกันก็มีข่าวลือว่า คนที่ยุยงให้เกิดการต่อสู้กันเช่นคนอย่างวีระธุเป็นเพียงแค่ตัวเบี้ยหมากของทหารพม่าระดับสูง ในการสร้างปัญหาให้กับประชาธิปไตยในพม่าที่เพิ่งจะเกิดขึ้น แต่วีระธุยืนยันว่าเขาไม่ได้ทำงานให้ใคร เขามีความเชื่อของตัวเองและต้องการให้โลกรับรู้เรื่องนี้
และเช่นเดียวกับชื่อที่เขาตั้งให้ตัวเองว่า 'บิน ลาเดน แห่งพม่าเขาก็มักจะเรียกร้องให้เกิดการต่อสู้รุนแรง

                                                                  




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น